The Next Generation of Work ทางเลือกออฟฟิศยุคใหม่ ทำงานบน Virtual Office ช่วยผลักดันนโยบาย ESG

ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีทันสมัยต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence), Blockchain, Robotic Process Automation System หรือการเติบโตของ Social Media ที่ช่วยให้การทำงาน และการสื่อสารเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น รูปแบบการทำงานแบบ Remote Work หรือการทำงานระยะไกลผ่านทางอินเทอร์เน็ตก็ได้กลายเป็นเทรนด์ที่เจริญเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Virtual Office หรือสถานที่ทำงานแบบเสมือนเริ่มได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะช่วยลดข้อจำกัดเรื่องการทำงานระยะไกล การติดต่อประสานงานข้ามประเทศ แต่ยังคงไว้ด้วยรูปแบบเสมือนจริง ซึ่งช่วยส่งเสริมรูปแบบการทำงานในยุคใหม่ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และการสนับสนุนแนวคิด ESG (Environment, Social, Governance) ตอบโจทย์ความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ (Sustainability) 

ในอดีตหลายๆ องค์กร อาจจะมีนโยบายที่สนับสนุนให้พนักงานเข้าไปทำงานในสถานที่และเวลาเดียวกัน แต่ในปัจจุบันนั้นถือว่าเปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะหลายๆ ที่เริ่มปรับตัว และเข้าใจในธรรมชาติของรูปแบบการทำงานของแต่ละแผนก แต่ละตำแหน่ง ที่มีความแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การชี้วัดความสำเร็จของการทำงาน ไม่ได้เริ่มจากการนั่งทำงานในสถานที่เดียวกันอีกต่อไป 

ในบางสถานประกอบการอาจจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายรูปแบบการทำงานไปเป็นแบบ Hybrid-Working ผสมผสานระหว่างการเข้าออฟฟิศ และการทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) เช่น 3:2:2 ทำงานแบบ Remote 3 วัน เข้าออฟฟิศ 2 วัน ต่อสัปดาห์ หรือ ในบางบริษัท อาจจะเน้นไปที่ Remote Work เป็นส่วนใหญ่ และปรับการเข้าออฟฟิศเหลือเพียงเดือนละ 1-2 ครั้ง 

เมื่อแนวคิดนี้เริ่มแพร่หลายมากขึ้น รูปแบบการชี้วัดความสำเร็จในการทำงาน  รวมถึงนโยบายการทำงาน ก็ถูกปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับยุคสมัยมากยิ่งขึ้น 

ในมุมมองทางสิ่งแวดล้อม (Environment) การทำงานแบบ Remote ผ่าน Virtual Office สามารถลดการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยแก๊สเรือนกระจกจากการเดินทางไปยังสถานที่ทำงานได้ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อสภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ยังช่วยลดการใช้พื้นที่ออฟฟิศที่จำเป็นต้องเปิดแอร์ 24 ชั่วโมง ลดการใช้กระดาษและลดการสร้างขยะได้อีกด้วย 

ในเรื่องของสังคม (Social) Remote Work และ Virtual Office สามารถเพิ่มให้คนทำงานได้ไปมีเวลาส่วนตัวและมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวมากขึ้น ส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้คนที่มีความจำเป็นหรือไม่สามารถเดินทางไปยังสถานที่ทำงานได้ (เช่น ผู้พิการ, ผู้สูงอายุ, หรือผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล) ยังคงสามารถเข้าร่วมทำงานและมีโอกาสทางเศรษฐกิจเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ในสังคม 

รวมถึงการเปิดโอกาสในด้านการรับสมัครพนักงานที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ ให้สามารถร่วมงานกับองค์กรผ่านรูปแบบการทำงานระยะไกล (Remote Work) 

ในส่วน Governance (การบริหารจัดการ) Virtual Office สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการจัดการและการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากเทคโนโลยีการเข้ารหัสและการเก็บข้อมูลบน Cloud พร้อมทั้งสนับสนุนการทำงานร่วมกันและช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น  

ดังนั้น การทำงานแบบ Remote Work ผ่าน Virtual Office ไม่เพียงแค่เป็นวิธีที่ช่วยให้เราทำงานได้มากขึ้นในสภาวะวิกฤติการณ์ที่โรคระบาดยังไม่ผ่านพ้นไป แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของการสร้างสังคมที่ยั่งยืนและเป็นธรรมตามหลัก ESG ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ธุรกิจ ด้วยการสะท้อนบทบาทความรับผิดชอบของธุรกิจที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสีย นำไปสู่การดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

สนใจทดลองใช้งาน Virtual Office เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนนโยบายการทำงานแบบ Hybrid หรือ การทำงานระยะไกล (Remote Work) สามารถติดต่อสอบถาม ZyGen เพื่อรับคำแนะนำจากทีมงานของเรา 

Author: Pathompong A.

แชร์ :
Scroll to Top