ในปี 2023 แนวโน้มของเทคโนโลยีที่คาดว่าจะถูกใช้งานเพิ่มมากขึ้นคือ RPA และจะเป็นการนำ RPA เข้ามาร่วมใช้งานกับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ตัวช่วยแปลเอกสาร รูปภาพให้อยู่ในรูปแบบตัวอักษร (OCR) และการเรียนรู้อัตโนมัติ (ML) เพื่อพัฒนาโซลูชันระบบอัตโนมัติที่ชาญฉลาดมากขึ้น สร้าง Digital Woker ที่ช่วยองค์กรได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ RPA สามารถจัดการกับกระบวนการที่ซับซ้อนได้ ไม่ใช่งานที่เป็น Routine เพียงอย่างเดียว Digital Worker จะสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองมากกว่าการตั้งเวลาให้ทำตามหน้าที่เท่านั้น และยังสามารถทำงานได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
แนวโน้มของ RPA ที่อาจจะเกิดขึ้นอีกก็คือ การนำโซลูชัน RPA บนคลาวด์มาใช้ เพื่อให้องค์กรได้เข้าถึงความสามารถและบริการต่างๆ ของ RPA ได้ตามต้องการ ที่สำคัญสามารถจ่ายเฉพาะส่วนที่ใช้เท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถปรับขนาดของโรบอทและยืดหยุ่นตามการใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้องค์กรส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นการใช้ RPA ในกระบวนการ Back-office ให้เป็นอัตโนมัติ เช่น ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ด้านการบัญชีและการเงิน (Accounting & Financial) ),ซึ่งนำไปสู่การประหยัดต้นทุน (Reduce Cost) และปรับปรุงประสิทธิภาพที่ดี (Increase Efficiency and Productivity)
ในปี 2023 องค์กรและอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงด้านสุขภาพ การเงิน การค้าปลีก และการผลิต คาดว่าจะมีการนำ RPA มาปรับใช้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก RPA จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับธุรกิจทุกขนาด RPA จะกลายเป็นกุญแจสำคัญสำหรับองค์กรในการนำทักษะของพนักงานไปใช้ในงานที่จำเป็นมากกว่าทำงานซ้ำ ๆ โดยให้โรบอททำงานด้วยตนเองโดยอัตโนมัติ ปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุน ช่วยให้ธุรกิจสามารถไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง