ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันทางธุรกิจทวีความรุนแรง การเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในทุกกระบวนการทำงานถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานด้านคลังสินค้า (Warehouse) ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ การนำเทคโนโลยี Robotic Process Automation หรือ RPA เข้ามาใช้ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เป็นอัตโนมัติ ลดความผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม
จากการนำ Automate Process ไปใช้จริงในคลังสินค้าของอุตสาหกรรมต่างๆ พบว่าสามารถให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ ยกตัวอย่างเช่น
- ประหยัดเวลา จากการทำงานของมนุษย์ไปได้กว่า 83.46%
- ลดจำนวนคน ในการทำงานของกระบวนการที่ใช้ถึง 90%
- ประหยัดต้นทุน ในการทำงานได้มากกว่า 150,000 บาทต่อเดือน หรือประมาณ 1.8 ล้านบาทต่อปี
RPA สามารถเข้ามามีบทบาทในหลายขั้นตอนสำคัญในคลังสินค้า ตั้งแต่การจัดการข้อมูลไปจนถึงการรายงานผล
กระบวนการทำงานที่ RPA สามารถช่วยได้มีดังนี้
- การดึงข้อมูลจากระบบ ERP
RPA จะทำหน้าที่ดึงข้อมูลรายงานการขายจากระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) และจัดเก็บไว้ในโฟลเดอร์อย่างเป็นระเบียบ ช่วยลดเวลาและความผิดพลาดในการดึงข้อมูลด้วยตนเอง - การจัดรูปแบบข้อมูล
RPA จะจัดรูปแบบข้อมูลที่จำเป็น เช่น วันที่ขนส่ง ประเภทการขนส่ง และตำแหน่งคลังสินค้า ให้อยู่ในรูปแบบ Excel ที่ง่ายต่อการใช้งานต่อ - การนำเข้าข้อมูลและสร้างรายการจัดส่ง
RPA จะนำข้อมูลที่จัดเตรียมไว้มานำเข้าสู่ระบบ ERP และสร้างรายการจัดส่งสินค้าจากคลัง พร้อมทั้งกำหนดวันที่หยิบสินค้าจากสต๊อก - การตรวจสอบจำนวนสินค้าและอัปเดตสต็อก
หลังจากผู้ปฏิบัติงานในคลังสินค้าทำการหยิบสินค้าตามรายการที่ RPA สร้างขึ้นและใช้เครื่อง Handheld ยืนยันจำนวนแล้ว RPA จะตรวจสอบจำนวนและชนิดของสินค้าที่หยิบโดยเปรียบเทียบกับรายการจัดส่ง หากจำนวนสินค้าถูกต้อง RPA จะทำการอัปเดตสต็อกสินค้าในระบบโดยอัตโนมัติ - การจัดทำรายงานและแจ้งเตือน
RPA จะสร้างรายงานสรุปผลการปฏิบัติงาน และส่งรายงานดังกล่าวผ่านอีเมลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทราบสถานะการจัดส่งและปริมาณสินค้าคงเหลือ
ประโยชน์ของการนำ RPA มาใช้ในคลังสินค้าไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้
ข้อดีและประโยชน์โดยรวมต่อองค์กรในด้านอื่นๆ มีดังนี้
- เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
RPA สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ช่วยลดระยะเวลาในการทำงาน และทำงานได้ในปริมาณที่มากกว่าเดิม - ลดข้อผิดพลาดในกระบวนการทำงาน
RPA ทำงานตามกระบวนการที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำ จึงช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ (Human Error) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ - เพิ่มความแม่นยำของการทำงาน
RPA ตรวจสอบข้อมูลและดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ ทำให้ข้อมูลในระบบมีความถูกต้องและเชื่อถือได้ - เพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน
RPA สามารถดึงข้อมูล จัดรูปแบบ และนำเข้าข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้กระบวนการทำงานโดยรวมมีประสิทธิภาพมากขึ้น - ปรับปรุงการบริการลูกค้า
การจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วและแม่นยำ ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน - เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านธุรกิจ
การนำ RPA มาใช้ ทำให้องค์กรมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น เนื่องจากสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดต้นทุนได้จริง
นอกจาก Use Case ดังกล่าวแล้ว RPA ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานคลังสินค้าอื่นๆ ได้อีกมากมาย เช่น การจัดการสินค้าคงคลัง, การจัดการคำสั่งซื้อ, การจัดการการขนส่ง และการสร้างรายงานต่างๆ
การนำ RPA มาใช้ในงานคลังสินค้าเป็นแนวทางที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และลดต้นทุน
สรุปได้ว่า การนำ RPA มาใช้ในงานคลังสินค้าเป็นแนวทางที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และลดต้นทุน ทำให้อองค์กรที่นำ RPA ไปใช้มีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ หากกำลังมองหาวิธีปรับปรุงงานคลังสินค้า การนำ RPA มาใช้ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและคุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างแน่นอน